“อาหารเช้าสำคัญที่สุดของวัน”—จริงหรือลวงโลก?

ความอร่อยเหาะที่ได้รับประทานทุกๆ วันนั้น จะหมายความว่าเราไม่ควรตั้งข้อสงสัยถึงประโยชน์ของอาหารมื้อนี้กันเลยหรือ

Image of breakfast cereal

มื้อที่สำคัญที่สุดของวัน จริงหรือ? Source: Pixabay

 

You can read the full version of this story in English on SBS Guide here.

อาหารเช้านั้นเป็นกิจวัตรที่ไม่ใคร่มีใครขบคิดถึง เพราะผลพลอยได้ด้านสุขภาพนั้นได้ถูกสั่งสอนกันมาอย่างเคร่งครัดตั้งแต่สมัยเด็กๆ จนถึงกับว่าอาจเป็นบัญญัติประการที่ 11: “จงรับประทานอาหารเช้าทุกวันและห้ามลืมเด็ดขาด”

สัญลักษณ์ของอาหารเช้าที่สำคัญก็คือธัญพืชหรือซีเรียล (cereal) ซึ่งพวกเราทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ทว่ามันก็อาจจะเป็นศัตรูต่อการเริ่มต้นวันที่ดีได้ เนื่องจากซีเรียลบางประเภทนั้นถูกเติมน้ำตาลในปริมาณที่มากจนน่าตกใจ (เชฟและนักเขียน คุณฮิว เฟิร์นลีย์-วิตทิงสตอลล์ ได้กะเทาะเปลือกเรื่องดังกล่าวในสารคดี ฮิวสู้อ้วน (Hugh’s Fat Fight))

เชิญชม: Hugh’s Fat Fight ได้ในคืนวันจันทร์ทางสถานีโทรทัศน์เอสบีเอสเวลา 20:30 น. และทุกเมื่อที่คุณต้องการทาง SBS On Demand

ธัญพืชนั้นเป็นอาหารหลักที่พวกเราอาจไม่เคยฉุกคิดถึงคุณค่า ซึ่งธัญพืชนั้นเป็นผลพลอยได้จากการโฆษณาชวนเชื่อที่แต่งตั้งให้อาหารเช้านั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในด้านโภชนาการของแต่ละวัน แต่ว่าหากสรุปเช่นนั้นจะแปลว่าเป็นการหลอกลวงกันมาขนานใหญ่เลยหรือไม่?

อาหารเช้ากลายเป็นราชาของอาหารทุกมื้อได้อย่างไร

เหตุผลที่ “อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน” ฟังดูแล้วเหมือนคำขวัญนั้นก็เพราะว่ามันเป็นคำขวัญๆ จริงๆ นั่นเอง

ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการรณรงค์ทางการตลาดที่ก็อาจเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ โดยผู้ผลิตซีเรียล เยเนอรัล ฟู้ดส์ (ซึ่งขณะนี้เรารู้จักในชื่อ คราฟต์ ฟู้ดส์) กล่าวว่า “รับประทานอาหารเช้าที่ดี - ทำงานได้ดีขึ้น” และโฆษณาทางวิทยุด้วยคำโปรยที่ว่า: “ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการกล่าวว่าอาหารเช้านั้นเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน” และจึงเชื่อกันเช่นนั้นเป็นต้นมา
Breakfast
PR spin had doctors endorsing bacon and eggs as a healthy breakfast Source: Pixabay
ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมเบคอนจึงเป็นตัวยืนอีกอย่างหนึ่งของอาหารเช้า? เรื่องนี้เราต้องขอบคุณ “ บิดาแห่งการประชาสัมพันธ์” เอดเวิร์ด เบอร์เนส์ (Edward Bernays) สำหรับเรื่องดังกล่าว ซึ่งมีภาพวิดิโอเก่าเก็บที่บันทึกไว้ว่าเขาเคยอธิบายถึงกลวิธีซึ่งเขาทำในนามของบริษัทผู้ผลิตเบคอนที่ชื่อว่าบีช-นัทแพ็คกิง (Beech-Nut Packing Company) โดยได้มีแพทย์ท่านหนึ่งซึ่งสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ว่าอาหารเช้ามื้อหนักที่อุดมด้วยโปรตีนจากเบคอนและไข่นั้น เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารเช้าเบาๆ ดัวยเหตุผลว่า? “เพราะร่างกายของเรานั้นสูญเสียพลังงานในตอนกลางคืน และจำเป็นต้องใช้พลังงานในระหว่างวัน”

นายเบอร์เนส์จึงได้ขอให้แพทย์ท่านดังกล่าวเขียนจดหมายถึงแพทย์อีกเป็นจำนวน 5,000 ท่านเพื่อจะดูว่าพวกเขาเห็นด้วยหรือไม่ – ซึ่งส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยอย่างง่ายดาย โดยผลของการล่าชื่อดังกล่าวนั้นได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั่วอเมริกาด้วย “พาดหัวที่ว่า ‘แพทย์ 4,500 ท่านเน้นให้อาหารเช้าเป็นมื้อหนัก เพื่อพัฒนาสุขภาพของชาวอเมริกัน” โดยคุณเบอร์เนส์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ว่า “แพทย์หลายๆ คนระบุว่าเบคอนและไข่นั้นควรจะอยู่ในอาหารเช้า และผลที่ตามมาก็คือ ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น”

ความคิดที่ว่า อาหารเช้านั้น “ดี” ต่อคุณ (เสียจริงๆ) นั้น มีสาเหตุที่สำคัญมาจากการคิดค้นคอร์นเฟลกส์ หรือแผ่นข้าวโพดกรอบขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยผู้ก่อตั้งบริษัทเคลลอกส์ ดอกเตอร์จอห์น ฮาร์วีย์ เคลลอกก์ และน้องชายของเขา วิลล์ คีธ เคลลอกก์ ซึ่งดอกเตอร์ฮาร์วีย์นั้นเป็นสมาชิกของโบสถ์เซเวนเดย์แอดเวนติสต์ที่เคร่งครัดและก็ยังเป็นมังสวิรัติ โดยเขาเชื่อว่าการบริโภคเนื้อซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวอเมริกัน ตลอดจนอาหารหนักอื่นๆ นั้น “รบกวนเส้นประสาทต่างๆ และ ... ก่อปฏิกิริยาต่ออวัยวะของระบบสืบพันธุ์” โดยกระตุ้นให้เกิดความต้องการทางโลกและการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ซึ่งก็น่าพิศวงที่เขาเชื่อว่าอาหารเบาๆ ที่ไม่มีรสชาติอย่างคอร์นเฟลกส์นั้นจะช่วยเยียวยาได้ ลองคิดดูสิว่าท่านจะออกโฆษณามาเช่นนั้นได้อย่างไร!

ความย้อนแย้งที่ใหญ่ยิ่งก็คือนายเคลลอกก์ผู้น้องซึ่งมีความช่ำชองด้านการค้านั้น ได้พยายามให้พี่ชายของเขาเชื่อว่าน้ำตาลซึ่งเป็นของไม่ดีแต่ก็จำเป็นที่จะต้องเติมลงไปให้กับซีเรียลเพื่อที่จะได้ไม่มีรสชาติเหมือน “อาหารม้า”

หากอ้างอิงจากประชาคมผู้ผลิตซีเรียลอาหารเช้าแห่งออสเตรเลีย (Australian Breakfast Cereal Manufacturers Forum) ชาวออสเตรเลียนั้นเป็นผู้บริโภคซีเรียลอันดับที่สามของโลก โดยแต่ละคนนั้นบริโภคเป็นจำนวนแปดกิโลกรัมต่อปี ทว่าเมื่อปีที่แล้ว เว็บไซต์ news.com.au ได้รายงานว่ายอดขายของซีเรียลนั้นลดต่ำลง โดยประเมินมูลค่าของอุตสาหกรรมดังกล่าวของประเทศออสเตรเลียไว้ที่ $1.2 พันล้านดอลลาร์

ถ้าเช่นนั้นเราเชื่ออะไรได้เกี่ยวกับอาหารเช้า?

ในทศวรรษที่ 1960 “สตรีหมายเลขหนึ่งด้านโภชนาการ” อเดลล์ เดวิส ได้กล่าวถ้อยคำที่กลายเป็นตำนานว่า: “ทานอาหารเช้าอย่างราชา อาหารเที่ยงอย่างเจ้าชาย และอาหารเย็นอย่างยาจก” โดยแม้ว่าความคิดดังกล่าวจะตรงกับนิสัยในการรับประทานอาหารของผู้คนจำนวนหนึ่ง ในปัจจุบัน แต่หากฟังดูดีๆ แล้วก็ราวกับว่าจะเป็นการเสียสมดุลที่ไร้เหตุผล

สมาพันธ์นักโภชนาการแห่งออสเตรเลีย หรือ The Dieticians Association of Australia (DAA) กล่าวว่า ประโยชน์ต่อสุขภาพของการรับประทานอาหารเช้าก็คือท่านจะเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักขึ้นหรือโรคอ้วนน้อยลง เพราะว่าจะรู้สึกอิ่ม ซึ่งก็หมายความว่าท่านจะมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารอันไม่ดีต่อสุขภาพน้อยลงในระหว่างวัน และยังได้รับสารอาหารที่จำเป็น และเพิ่มความตื่นตัว สมาธิ กำลังสมอง อารมณ์ และความจำ โดยทางหน่วยงานโภชนาการแห่งออสเตรเลียหรือ Nutrition Australia ยังเสริมว่า การรับประทานอาหารเช้านั้นกระตุ้นการเผาผลาญและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดนั้นคงที่
Should you give this a miss?
Breakfast Source: SBS Guide
อย่างไรก็ตามรายงานซึ่งทาง DAA ใช้อ้างอิงตลอดจนรายการของประโยชน์ต่างๆ ที่ได้ระบุมานั้น เป็นลักษณะที่บ่งชี้ชัดว่าการทำวิจัยนั้นเป็นเรื่องยุ่งเหยิงเต็มที่ไปด้วยปัญหา เพราะงานวิจัยบางชิ้นนั้นได้รับเงินสนับสนุนจากบริษัทซีเรียล - ซึ่งในกรณีนี้ก็คือเคลลอกส์นั่นเอง

แม้ว่านักโภชนาการ โรสแมรี สแตนตัน จะชี้ให้เห็นถึงปัญหาดังกล่าว เธอก็กล่าวว่ายังมีพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาหนุนหลังด้านประโยชน์ทางโภชนาการหลายประการของอาหารเช้าประเภทที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งดีกว่าการไม่รับประทานอาหารเช้าเลย โดยคุณสแตนตันได้อ้างอิงถึงงานวิจัยในประเทศออสเตรเลียที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1985 เพื่อวิเคราะห์นิสัยในการรับประทานอาหารเช้าของผู้ที่มีอายุเก้าถึง 15 ปี และก็ได้มีการทบทวนอีกครั้งในปี 2004-2006 และพบว่า ผู้ที่ไม่รับประทานอาหารเช้า (คำจำกัดความก็คือไม่รับประทานอาหารในระหว่างเวลา 6-9 นาฬิกา) ในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่นั้น จะเกิดปัจจัยเสี่ยง “อันเป็นผลเสีย” ต่อสุขภาพด้านการเผาผลาญและหัวใจ โดยมีรอบเอวที่ใหญ่กว่า มีระดับฮอร์โมนอินสุลินในขณะอดอาหารที่สูงกว่า และมีระดับของแอลดีแอล หรือ ลิโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (low-density lipoprotein, LDL) ตลอดจนโคเลสเตอรอลที่สูงกว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารเช้า

แต่ทว่าก็มีงานวิจัยที่ขัดแย้งกันอยู่เป็นจำนวนมากมาย เกี่ยวกับผลต่อสุขภาพของอาหารเช้า จนเป็นการยากที่จะทราบว่าควรจะเชื่อใครกันแน่ (ไม่ต่างกันกับผลงานวิจัยเกี่ยวกับไข่ซึ่งเป็นอาหารเช้าหลักอย่างหนึ่ง ซึ่งก็กลับไปกลับมา)

หากดูแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ามีงานวิจัยจำนวนมากที่พบว่าการไม่รับประทานหรือรับประทานอาหารเช้าล่าช้านั้นก็อาจช่วยลดน้ำหนักหรือช่วยในด้านการเผาผลาญ (ซึ่งตรงข้างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่งานวิจัยซึ่งสนับสนุนการรับประทานอาหารเช้าได้กล่าวอ้าง) ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของเทร็นด์ความนิยมการอดอาหารแบบเป็นช่วงๆ (intermittent fasting)

งานวิจัยที่กินระยะเวลา 10 สัปดาห์โดยมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ (Univerysity of Surrey) ซึ่งออกรายการโทรทัศน์ เชื่อผมเถอะผมเป็นหมอ หรือ Trust Me I’m A Doctor นั้นมีผู้ร่วมทดลองสิบหกคนที่ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม: กลุ่มแรกรับประทานอาหารเช้าล่าช้ากว่าปกติ เป็นเวลา 90 นาที และรับประทานอาหารเย็นเร็วกว่าปกติ 90 นาที และกลุ่มควบคุมซึ่งรับประทานตามเวลาปกติ ผลจากการอดอาหารนั้นทำให้กลุ่มแรกมีไขมันตามร่างกายที่โดยเฉลี่ยแล้วลดลง และมีระดับน้ำตาลในเลือดและโคเลสเตอรอลที่ลดลงต่ำกว่ากลุ่มควบคุม


ดอกเตอร์ไมเคิล โมสลีย์ พิธีกรของรายการ Trust Me I’m A Doctor และผู้คิดค้นการรับประทานอาหารแบบ 5:2 กล่าวกับหนังสือพิมพ์ The Sydney Morning Herald ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเช้า หรือว่าเหมาะกับการรับประทานอาหารเช้า โดยเขาอ้างอิงจากงานวิจัยต่างๆ ซึ่งผู้คนนั้นน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเมื่อถูกบังคับให้รับประทานอาหารเช้า

แม้วลีที่ว่า “ไม่ทานข้าวเช้า” นั้นจะมีความหมายในเชิงตำหนิติเตียน โดยมีแง่มุมในทางลบว่าผู้คนนั้นไม่ดูแลตัวเองหากว่าพวกเขาไม่รับประทานอาหารมื้อดังกล่าว คุณสแตนตันก็เชื่อว่าคุณสามารถชดเชยการไม่รับประทานอาหารเช้าหลังจากนั้นได้ในระหว่างวันด้วยอาหารกลาวันและอาหารเย็นที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่แม้กระนั้น นักโภชนาการท่านดังกล่าวก็แนะนำให้รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ โดยกล่าวว่า มันขึ้นอยู่กับว่าท่านรับประทานอะไรเป็นสิ่งแรกของวัน มากกว่าการที่จะต้องกำหนดเวลาอย่างตายตัว

“มันมีแนวโน้มที่ว่าการรับประทานอาหารเช้า – หรือไม่รับประทานนั้น – อาจเป็นเพียงแค่ภาพสะท้อนของความพึงพอใจส่วนตัวเกี่ยวกับเวลาที่ชอบรับประทานอาหาร” โดยเธอเขียนลงในวารสารวิชาการเดอะคอนเวอร์เซชัน (The Conversation) ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบการตื่นขึ้นมาแล้วก็รับประทานอาหารเลยเป็นสิ่งแรก แต่ตัวเลือกของอาหารของคุณนั้นอาจเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมๆ เรื่อของการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ”

เชิญชม: Hugh’s Fat Fight ได้ในคืนวันจันทร์ทางสถานีโทรทัศน์เอสบีเอสเวลา 20:30 น. และทุกเมื่อที่คุณต้องการทาง SBS On Demand

ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่นี่

Share

Published

Updated

By Jim Mitchell
Presented by Tanu Attajarusit
Source: SBS Guide, Pixabay

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand
“อาหารเช้าสำคัญที่สุดของวัน”—จริงหรือลวงโลก? | SBS Thai