สตรีนักรณรงค์ซาอุฯ ยังถูก ‘ทารุณ’ แม้คำสั่งห้ามขับรถยกเลิกไปแล้วหลายเดือน

SBS EXCLUSIVE: เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ซาอุดิอาระเบียได้ให้สิทธิในการขับรถแก่ผู้หญิง แต่ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักดีจากการรณรงค์เพื่อยุติคำสั่งห้ามดังกล่าวกลับไม่ได้เฉลิมฉลอง

You can read the full version of this story in English on SBS News here.

บัญชีทวิตเตอร์ของลูเจน อัล-ฮัตห์ลุล ไม่ขยับเขยื้อนตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2018

ก่อนหน้านี้ สตรีนักรณรงค์ชาวซาอุฯ คนดังกล่าวเป็นผู้ใช้ทวิตเตอร์ตัวยง โดยมีผู้ติดตามเธอ 307,000 คน และมีรายงานว่าเธอนั้นเป็นเพื่อนกับดัตเชสแห่งซัสเซกซ์

กระดานเนื้อหาของเธอเป็นการบันทึกเรื่องราวที่เธอนั้นทุ่มเทใจให้ ซึ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือความพยายามของเธอที่จะยุติคำสั่งห้ามของราชอาณาจักรไม่ให้ผู้หญิงขับรถ
Loujain Al Hathloul, 29.
Loujain Al Hathloul, 29. Source: Supplied
สตรีวัย 29 ปีคนดังกล่าวเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในปี 2014 เมื่อเธอถ่ายคลิปตัวของเธอเองขณะพยายามขับรถเข้าประเทศซาอุดิอาระเบียจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเธอถูกจับและถูกขังคุกเป็นเวลา 70 วัน

สามวันหลังจากที่เธอทวีตเป็นครั้งสุดท้าย นางสาวอัล-ฮัตห์ลุล ก็ถูกจับอีกครั้งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินกลับมายังซาอุดิอาระเบีย และในเดือนพฤษภาคน เธอก็ถูกจับอีกในการล้อมจับสตรีนักรณรงค์ที่ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมีเป้าหมายเป็นผู้หญิงระหว่างจำนวน 10 ถึง 12 คน หากอ้างอิงจากองค์กรเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch)

เกือบทุกคนเป็นผู้ซึ่งต่อสู้อย่างเปิดเผยเพื่อสิทธิในการขับรถและเพื่อยุติระบบการให้มีผู้คุ้มกันชายของราชอาณาจักร

พวกเธอนั้นขณะนี้อยู่ในเรือนจำ ดห์บาน มาบาฮิตห์ ทางเหนือของนครเจดดาห์ โดยครอบครัวของนางสาวอัล-ฮัตห์ลุล กล่าวว่าเธอถูกทำทารุณที่นั่น

“น้องสาวของฉันเองเป็นคนบอกว่าเธอนั้นถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าและถูกระรานอย่างสม่ำเสมอ” วาลีด พี่ชายของเธอเขียนใน บทความแสดงความคิดเห็นสำหรับซีเอ็นเอ็น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

“เมื่อไรก็ตามที่ลูเจนพูดกับพ่อแม่เกี่ยวกับช่วงที่เธอถูกทำทารุณ มือของเธอก็สั่นโดยไม่สามารถควบคุมได้” ผมหวาดกลัวว่าความเจ็บปวดนั้นจะอยู่กับเธอตลอดไป
"น้องสาวของผมเองกล่าวว่าเธอถูกเฆี่ยน ถูกทุบตี ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าและถูกระราน"—วาลีด อัล-ฮัตห์ลุล
อาเลีย พี่สาวของนางสาวอัล-ฮัตห์ลุล ได้กล่าวกับทาง เดอะนิวยอร์กไทมส์ ก่อนหน้านี้ว่า: “เธอเล่าว่าเธอถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องขังเดี่ยว ถูกทุบตี ถูกวอเตอร์บอร์ด ถูกช็อคด้วยไฟฟ้า ถูกระรานทางเพศและโดนขู่ว่าจะถูกข่มขืนและฆาตกรรม ... พ่อแม่ของฉันเห็นว่าต้นขาของเธอนั้นเป็นสีดำคล้ำจากการฟกช้ำ”

และก็ไม่ได้มีเพียงเธอคนเดียว
Aziza Al Yousef, Eman Al Nafjan and Samar Badawi
Detained: Aziza Al Yousef, Eman Al Nafjan and Samar Badawi. Source: Supplied
องค์กรนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) กล่าวในเดือนพฤศจิกายนว่า ทางองค์กรได้เห็นคำให้การจำนวนสามรายจากนักรณรงค์ที่ถูกกุมขังซึ่งถูกช็อคด้วยไฟฟ้าและถูกเฆี่ยน โดยทำให้บางรายนั้นไม่สามารถจะเดินเหินได้

หนึ่งในผู้ที่ถูกจองจำได้แก่อาจารย์และแม่ลูกห้าวัย 60 ปี อะซิซา อัล-ยูเซฟ ผู้นำการรณรงค์ให้เกิดความตื่นตัวกรณีนักบวชสอนศาสนาคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าข่มขืนเด็กหญิงอายุห้าปีซึ่งเป็นบล็อกเกอร์ชื่อ อีมาน อัล-นาฟจาน และนักข่าวชื่อ นูฟ อับเดลอาซิส

มายา อัล-ซาห์รานี ซามาร์บาดาวี นาสสิมา อัล-ซาดา และ ฮะทูน อัล-ฟาซซี ยังคงถูกกุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อหา

นักวิจัยภูมิภาคตะวันออกกลางขององค์กรเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน นายอดัม คูเกิล ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศจอร์แดนกล่าวกับเอสบีเอสนิวส์ว่า การปฏิบัติต่อผู้หญิงตามที่ได้มีการกล่าวอ้างนั้น “น่าตกใจอย่างที่สุด” และไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรแห่งดังกล่าว

“แน่นอนว่าเราได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์มากมายหลายครั้งที่มีการทุบตีและทำทารุณผู้ชายในเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่การปฏิบัติต่อผู้หญิงในลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนอย่างแท้จริง ... ผมเองยังแทบจะไม่เชื่อด้วยซ้ำ”
"การปฏิบัติต่อผู้หญิงในลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนอย่างแท้จริง"—อดัม คูเกิล จากองค์กรเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน
เขาอ้างว่ามกุฎราชกุมารซึ่งมีพระราชอำนาจสูง เจ้าชายโมฮัมเม็ด บิน ซาลมาน และเหล่าที่ปรึกษาของพระองค์ ต้องการจะแสดงว่า “พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดเสียงวิพากษ์วิจารณ์”
Nassima Al Saada and Hatoon Al Fassi
Detained: Nassima Al Saada and Hatoon Al Fassi. Source: Supplied
ทั่วโลกได้ติดตามจับตามองอย่างทุกฝีก้าวต่อบิน ซาลมาน และระบอบการปกครองของพระองค์ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ซึ่งกระฉ่อนไปทั่วจำนวนหนึ่งในช่วงเวลาไม่นานมานี้

โดยมกุฎราชกุมารพระองค์ดังกล่าวทรงถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง การสังหารนักข่าว นายจามาล คาช็อกกี ที่สถานกงสุลซาอุดิอาระเบียในกรุงอิสตันบุลเมื่อเดือนตุลาคม – ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาซึ่งพระองค์ทรงปฏิเสธ และทรงมีพระราชกระแสว่าเรื่องดังกล่าวเป็น “อาชญากรรมที่น่าชังและไม่มีข้ออ้างใดๆ”

เมื่อเดือนมกราคม วัยรุ่นชาวซาอุฯ ราฮาฟ อัล-คุนูน ตกเป็นข่าวเมื่อเธอนั้นต่อต้านระบบการมีผู้คุ้มครองเป็นผู้ชายของราชอาณาจักร และพยายามขอลี้ภัยมายังประเทศออสเตรเลีย

ในสัปดาห์นี้มีกลุ่มสส. อังกฤษกลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเหล่านักรณรงค์สตรี และเตือนว่าความรับผิดชอบต่อการทำทารุณกรรมที่มีการกล่าวอ้างว่าเกิดขึ้นนั้นจะสาวไปถึงได้ทุกระดับ รวมถึงบิน ซาลมานด้วย หากพระองค์เป็นผู้ทรงรับสั่ง หรือทรงมีพระราชานุญาตให้เรื่องดังกล่าวดำเนินต่อไป

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่มีการกล่าวอ้างว่าผู้ช่วยของพระองค์คนหนึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำทารุณต่อนางสาวอัล-ฮัตห์ลุล

เจ้าหน้าที่ทางการของซาอุฯ ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ามีการทำทารุณกรรม โดยกล่าวว่า “ไม่มีหลักฐาน”

กระทรวงสื่อมวลชนของซาอุฯ กล่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า รัฐบาลนั้น “ปฏิเสธอย่างแน่วแน่และแข็งขันต่อข้อกล่าวหาของพวกเขา คำกล่าวอ้างต่างๆ ที่หวือหวา และมีการอ้างอิง ‘คำให้การ’ หรือ ‘สายผู้มีข้อมูล’ นั้นเป็นเรื่องที่ผิด”

ทางกระทรวงยังอ้างว่า สตรีที่ถูกจับนั้น เนื่องมาจาก “การติดต่อที่น่าสงสัยกับต่างชาติ” และ “การสนับสนุนทางการเงินให้กับฝ่ายตรงข้ามในต่างประเทศ”

นายคูเกิลกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับซาอุดิอาระเบียที่จะใช้กฎหมายสำหรับต่อต้านการก่อการร้ายต่อนักรณรงค์สิทธิมนุษยชน โดยภายใต้กฎหมายดังกล่าว เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้คนไว้ได้นานถึงหนึ่งปีโดยไม่มีการตั้งข้อหา และได้โดยไม่มีกำหนดหากมีคำสั่งจากศาล
Ms Saffaa
Sydney-based Saudi artist Ms Saffaa has featured detained activist Loujain al-Hathloul in her work. Source: Ms Saffaa/Allie Ballesteros/Instagram
ศิลปินนักประท้วงซึ่งอยู่อาศัยในนครซิดนีย์ นางสาวซาฟฟา เป็นเพื่อนกับนักกิจกรรมบางรายซึ่งถูกกุมขัง และได้สร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อประท้วง โดยท้าทายกฎหมายการมีผู้ควบคุมผู้ชาย เธอยังได้แสดงให้เห็นถึงนักรณรงค์ซึ่งถูกควบคุมตัวผ่านงานศิลปะของเธออีกด้วย

แม้ว่าเธอจะย้ายมาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียแล้วก็ตาม เธอกล่าวว่าเธอนั้น “คอยเหลียวหลังอยู่เสมอ” และมักจะเห็นเจ้าหน้าที่ซาอุฯ ที่งานแสดงศิลปะของเธอ

เธอเล่าให้เอสบีเอสนิวส์ฟังถึงครั้งที่มีครอบครัวหนึ่งมาพูดคุยกับเธอที่นิทรรศการแห่งหนึ่งและขอถ่ายรูปงานศิลปะของเธอ - ซึ่งต่อมาก็มีการเปิดเผยว่าพวกเขานั้นทำงานให้กับ “สำนักงานวัฒนธรรมซาอุดิอาระเบีย”

“พวกเขาถามฉันเสมอๆ ว่าฉันอยากจะมีส่วนร่วมกับงานทางวัฒนธรรมของพวกเขาหรือไม่ - มันเป็นวิธีที่จะทำให้ฉันนั้นอ่อนข้อลง” เธอกล่าว

“ฉันปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของฉันเพราะความหวาดกลัว ... หากว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน มันก็จะเป็นไปเพื่อเหตุผลที่ดี”
Ms Saffaa
Ms Saffaa. Source: Ms Saffaa/Instagram
นางสาวซาฟฟา มายังประเทศออสเตรเลียโดยได้รับทุนการศึกษาศิลปะ แต่กล่าวว่าเธอนั้น “ไม่สามารถจะกลับไปได้อีก”

จากข้อมูลของธนาคารโลก มีชาวซาอุฯ จำนวน 1169 คนที่หลบหนีในฐานะผู้ลี้ภัยในปี 2017 – ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์  และก็เกิดขึ้นหลังจากปี 2015 เมื่อบิน ซาลมานนั้นทรงขึ้นเป็นผู้นำประเทศ ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดซึ่งสามารถเห็นได้
World Bank
Saudi Arabia's refugee population has shot up since Mr bin Salman came to power. (Graphs shows per thousand) Source: World Bank
ไดอานา ซาเยด นักรณรงค์สิทธิสตรีจากองค์กรนิรโทษกรรมสากลกล่าวกับเอสบีเอสนิวส์ว่า เธอเชื่อว่าซาอุดิอาระเบียและบิน ซาลมาน “ต้องการจะได้รับเครดิตอย่างเต็มๆ ต่อการยกเลิกการห้ามผู้หญิงขับรถ แทนที่จะเป็นเหล่านักปกป้องสิทธิสตรีผู้ซึ่งตกระกำลำบากมาเป็นเวลาหลายทศวรรษและยังคงต่อเนื่องอยู่ ซึ่งได้ทำการรณรงค์ต่อสิทธิในการขับรถ”

เธอยังเสริมว่า “พวกเขาป่าวประกาศเรื่องนี้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลง และจุดผกผันของประเทศ ... แต่หน้ากากก็คอยๆ หลุดออก ... มันไม่มีพื้นที่ใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์เจ้าชายพระองค์ปัจจุบัน”
"มันไม่มีพื้นที่ใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์เจ้าชายพระองค์ปัจจุบัน"—ไดอานา ซาเยด
ทั้งนางสาวซาเยดและนายคูเกิลเชื่อว่า การจับกุมนักกิจกรรมสตรีนั้นส่งผลให้ประชาชนชาวซาอุฯ เงียบเชียบไม่ปริปาก

“ผู้คนที่ซาอุฯ นั้นหวาดกลัวที่จะพูด ไม่มีใครเลยที่จะพูดจาวิพากษ์วิจารณ์เอ็มบีเอส [โมฮัมเม็ด บิน ซาลมาน] เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาอาจถูกจับและทรมานได้จากเรื่องนี้” นายคูเกิลกล่าว

แต่เขาก็เสริมว่า ผู้ที่หลบหนีออกมาได้ เช่นนายคาช็อกกีก่อนเขาจะถูกสังหาร จะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อระบอบ

“[พวกเขา]เรียกร้องให้เกิดความสนใจต่อสภาพความเป็นจริงในซาอุดิอาระเบีย ด้วยวิธีซึ่งมีเสียงดังและมองเห็นได้ชัดกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้”

นางสาวซาเยดกล่าวว่า ขณะนี้นั้นไม่เหมือนในอดีต โดยมี “ความจำเป็นทางคุณธรรม” สำหรับประเทศต่างๆ เช่นออสเตรเลียที่จะ “แสดงจุดยืนทางคุณธรรม” และใช้แรงกดดันระดับนานาชาติต่อราชอาณาจักรแห่งดังกล่าวเพื่อท้าท้าย “ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน”

สำหรับเหล่าสตรีทื่ถูกกุมขัง นายคูเกิลกล่าวว่า การตัดสินใจปล่อยตัวพวกเขานั้นขึ้นอยู่กับพระองค์เท่านั้น

“เอ็มบีเอสจะทรงต้องการที่จะไปต่อในเรื่องนี้แล้วตั้งข้อหากับพวกเขา หรือว่าพระองค์จะทรงตัดสินพระทัยว่าพระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงในเรื่องนี้” เขากล่าว “เราไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะไปในหนทางใด”
ติดตามฟังรายการ เอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ sbs.com.au/thai ทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี เวลา 22.00 น.

ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่ facebook.com/sbsthai

Share

Published

Updated

By Maani Truu
Presented by SBS Thai
Source: Wikipedia, SBS News, World Bank, Instagram

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand