องค์กรผู้แทนด้านบริการช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวในรัฐนิวเซาท์เวลส์คาดการณ์ว่า เมื่อโครงการจ๊อบคีพเปอร์ (JobKeeper) ของรัฐบาลสหพันธรัฐสิ้นสุดลง เท่ากับยิ่งซ้ำเติมผู้เสี่ยงตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
นายจอช ฟรายเดนเบิร์ก รัฐมนตรีคลัง กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า “สัญญาณเชิงสนับสนุนจากทั่วทุกภาคส่วน” ทำให้รัฐบาลตัดสินใจยุติโครงการจ๊อบคีพเปอร์ อีกทั้งโครงการนี้ “บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว”
ทว่า องค์กร Women's Safety NSW แสดงความกังวลว่าอาจนำไปสู่เหตุความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเงินย่อมส่งผลโดยตรงต่อตัวผู้กระทำความรุนแรง
“ความอึดอัดจากภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่สาเหตุของความรุนแรงในครอบครัวและการกระทำทารุณ แต่ซ้ำเติมให้เลวร้ายลงได้ นี่คือประเด็นที่ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าสังเกตเห็นตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 เป็นต้นมา” นางเฮย์ลีย์ ฟอสเตอร์ (Hayley Foster) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์กรกล่าวกับเอสบีเอส นิวส์
“[การยุติโครงการจ๊อบคีพเปอร์] อาจยิ่งซ้ำเติมปัญหา เพราะความลำบากทางการเงินลดทอนความสามารถของเหยื่อในการหนีออกจากความรุนแรงหากฐานะเศรษฐกิจของพวกเขาไม่มั่นคงพอให้ทำเช่นนั้นได้”
“เหมือนมีกำแพงเพิ่มขึ้นอีกชั้น ผู้หญิงจึงพบว่าพาตัวเองและลูกออกจากสถานการณ์ได้ยากกว่าเดิมมาก”
สถานการณ์ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ความเสี่ยงและจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สหประชาชาติเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “โรคระบาดเงา” (“shadow pandemic”) ด้านนางฟอสเตอร์เผยว่า จากประสบการณ์ทำงานในด้านนี้ของเธอเกือบ 20 ปี ระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเลวร้ายที่สุดของปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
องค์กร Women's Safety NSW สำรวจความเห็นของผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวช่วงเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เข้าสู่ระยะฟื้นฟูเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 98 มองว่าการให้เงินอุดหนุนจ๊อบคีพเปอร์ (JobKeeper) และจ๊อบซีกเกอร์ (JobSeekers) มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้หญิง
นางฟอสเตอร์กล่าวว่า ออสเตรเลียจำเป็นต้องเข้าใจว่าความมั่นคงทางการเงินเชื่อมโยงโดยตรงกับการใช้ความรุนแรงในครอบครัว และดำเนินการมากกว่านี้เพื่อสนับสนุนทางการเงินแก่บุคคลกลุ่มเสี่ยง
“สุดท้ายแล้ว เราสามารถให้การสนับสนุนที่พักอาศัยรวมถึงความช่วยเหลือกรณีไร้บ้านซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ถ้าเราคาดหวังให้เหยื่อความรุนแรงในครอบครัวออกจากสถานการณ์เช่นนั้น เราต้องทำให้มันเป็นไปได้จริงสำหรับเขา” นางฟอสเตอร์กล่าว
“อยากให้กลับมาพิจารณากันใหม่ถึงสิ่งที่สังคมคาดหวัง นั่นคือให้แม่เลี้ยงเดี่ยวและลูก ๆ สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ ถ้าเราไม่ทำตรงนี้ ถ้าเราไม่อาจรับรองได้ว่าพวกเขาจะมีทรัพยากรเพียงพอทำได้ ก็หมายความว่าเราไม่ได้สร้างหนทางที่ปลอดภัยแก่พวกเขาที่จะก้าวออกจากสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว”
ข้อมูลจากโครงการ Counting Dead Women โดยกลุ่มรณรงค์ Destroy the Joint ระบุว่า ปีที่แล้วมีผู้หญิง 55 คนในออสเตรเลียเสียชีวิตจากการใช้ความรุนแรงรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงความรุนแรงในครอบครัว โดยปี 2021 มีผู้หญิงเสียชีวิตแล้วเก้าคน หากคุณหรือคนที่คุณรู้จักได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว ให้โทรศัพท์ไปยัง 1800RESPECT ที่หมายเลข 1800 737 732 หรือเว็บไซต์ 1800respect.org.au สำหรับเหตุฉุกเฉิน โปรดโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 000 หญิงผู้ย้ายถิ่นฐานหรือผู้ลี้ภัยที่ประสบความรุนแรงในครอบครัว สามารถติดต่อศูนย์หลากวัฒนธรรมเพื่อต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว inTouch ที่ intouch.org.au หรือโทรศัพท์ 1800 755 988 คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ sbs.com.au/thai บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ facebook.com/sbsthai