กดปุ่ม 🔊ที่ภาพด้านบนเพื่อฟังรายงานเรื่องนี้
การแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา ทำให้ชาวออสเตรเลียจำนวนมากต้องปรับวิถีชีวิตในหลายรูปแบบ รวมถึงการใช้ชีวิตในพื้นที่ดิจิทัล จากการทำงานจากที่บ้านที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอยู่บ้านมากขึ้นในช่วงล็อกดาวน์
มีรายงานล่าสุดที่พบว่า พฤติกรรมบนโลกออนไลน์ของชาวออสเตรเลียนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ของการถูกหลอกลวงโดยเหล่ามิจฉาชีพทางออนไลน์
เรื่องที่คุณอาจสนใจ

โจรออนไลน์อ้างชื่อ Telstra กวาดเงินเกลี้ยงบัญชี
คุณดีเลีย ริคาร์ด (Delia Rikard) จากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและผู้บริโภคออสเตรเลีย (ACCC) ได้เตือนว่า บรรดามิจฉาชีพกำลังกอบโกยเงินเข้ากระเป๋า
“เรากำลังพบว่า บรรดามิจฉาชีพใช้สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เป็นเครื่องมือ พวกเขารู้ว่าผู้คนอยู่ที่บ้าน และใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากขึ้น พวกเขามีความเครียด และหลายคนประสบปัญหาทางการเงิน บรรดามิจฉาชีพกำลังใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐบาลมีโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้คน” คุณริคาร์ดกล่าว
“ผู้คนอาจไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทุกอย่างทำงานอย่างไร ดังนั้น บรรดามิจฉาชีพจะติดต่อผู้คนทางโทรศัพท์ อีเมล หรือข้อความบนโทรศัพท์มือถือ และอ้างว่าพวกเขาสามารถช่วยคุณเข้าถึงสิทธิประโยชน์เหล่านนั้นได้ พร้อมกับขอข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงข้อมูลบัญชีธนาคาร ข้อมูลกองทุนเงินซูเปอร์ และข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นในการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวของคุณ”
ACCC ได้ประมาณว่า ชาวออสเตรเลียได้สูญเงินให้กับบรรดามิจฉาชีพไปเป็นมูลค่า $91 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ความเสียหายเฉพาะการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวเพียงอย่างเดียว คิดเป็นมูลค่า $22 ล้านดอลลาร์มีหญิงรายหนึ่งสูญเงินไป $62,000 ดอลลาร์ จากบัญชีในชื่อของเธอเอง ขณะที่หญิงอีกรายหนึ่งสูญเงินไปเป็นจำนวน $181,000 ดอลลาร์ จากเว็บไซต์หาคู่
คุณจูเลีย รอบสัน (Julia Robson) นักสืบเอกชน กล่าวว่า จำนวนลูกค้าของเธอที่ตกเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นพิศวาสออนไลน์ (romance scam) ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น
“เพราะสถานการณ์โควิด ทำให้ผู้คนไม่สามารถไปพบกันได้แบบตัวต่อตัว นั่นคือข้อได้เปรียบอย่างมากสำหรับนักต้มตุ๋น เพราะพวกเขาเริ่มเกลี้ยกล่อมคุณ ในขั้นตอนนี้เองจะเป็นจุดที่พวกเขาเริ่มขอเงินจากคุณ จากนั้นก็สัญญาว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งมวลรวมกัน หมายความว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว คุณก็จะสูญเงินไปทั้งหมด” คุณร็อบสันกล่าว
สิ่งนี้เกิดขึ้นกับ คุณแจน มาร์แชล (Jan Marshall) หลังจากที่เธอหมั้นกับชายคนหนึ่งเพียง 5 สัปดาห์ เธอถูกเขาหลอกหลวงจนสูญเงินไปมากกว่า $200,000 ดอลลาร์
“พวกเขาทำให้มันเป็นเรื่องพิเศษ และพูดอะไรในเชิงรักโรแมนติก ที่หลายคนอยากได้ยิน แต่ในความสัมพันธ์ปกติธรรมดาไม่มีใครพูดกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีพลัง เพราะมันเป็นเรื่องที่สะกิดใจเราในส่วนลึก ซึ่งเราต้องการเนื้อคู่ และต้องการใครสักคนที่อยู่เคียงข้าง และคิดว่าเราเป็นคนพิเศษ” คุณมาร์แชลล์กล่าว
คุณมูฮัมหมัด เอล-คาฟาจี (Mohammad El-Khafaji) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาพันธ์สภาชุมชนชาติพันธุ์แห่งออสเตรเลีย (The Federation of Ethnic Communities Councils of Australia หรือ FECCA) กล่าวว่า ผู้ที่มีภูมิหลังจากหลายภาษาและหลากวัฒนธรรม (CALD) เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกเป้นเป้าของมิจฉาชีพ
“นอกจากข้อจำกัดด้านภาษาแล้ว ยังมีเรื่องของการขาดความเข้าใจการทำงานของกระบวนการต่าง ๆ เมื่อคุณได้รับอีเมล์ซึ่งอ้างว่ามาจากหน่วยงานมหาดไทยที่ขอเงินจากคุณ มิฉะนั้นคุณอาจถูกจับกุม นั่นจะทำให้ผู้คนเกิดความกลัว เหตุผลต่าง ๆ จะหายไป มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรา ในการให้ความรู้กับชุมชนของเรา ว่าอะไรคือเรื่องปกติและอะไรเป็นการหลอกลวง เราจำเป็นต้องทำให้ชุมชนสามารถช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนได้ หากพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ”คุณเอล-คาฟาจีกล่าว
มีข้อมูลใหม่ที่แสดงให้เห็นว่า การโจรกรรมกรรมข้อมูลส่วนบุคคลปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 55 ขณะที่บรรดามิจฉาชีพต่างพยายามที่จะขโมยข้อมูลทุกอย่าง ตั้งแต่รายละเอียดกองทุนเงินซูเปอร์ บัญชีธนาคาร ใบขับขี่ ไปจนถึงหมายเลขบัตรเมดิแคร์ เพื่อทำให้คะแนนยืนยันอัตลักษณ์บุคคลครบ 100 แต้ม ซึ่งเพียงพอที่จะเปิดบัญชีธนาคาร หรือบัตรเครดิตในชื่อของคนอื่น
ส่วนขบวนการหลอกลวงเพื่อเก็บข้อมูลส่วนตัวนั้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเริ่มต้น โดยกระทำลักษณะนี้ เหล่ามิจฉาชีพจะอ้างว่าเป็นตัวแทนจากรัฐบาล และติดต่อคุณผ่านทางโทรศัพท์ ข้อความ SMS หรืออีเมล
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้เตือนชาวออสเตรเลียว่า อย่าเปิดลิงก์ต้องสงสัยที่คุณได้รับ โดยให้รายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแทน ถ้าคุณคิดว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงต้มตุ๋น คุณสามารถใช้งานไปยัง ScamWatch ที่เว็บไซต์ https://www.scamwatch.gov.au/
ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตมหานครของเมลเบิร์น (Metropolitan Melbourne) อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ระดับ 4 และจะต้องปฏิบัติตามการห้ามออกจากเคหสถานระหว่างเวลา 20.00 น.-5.00 น.
ในระหว่างช่วงเวลาที่ห้ามออกจากเคหสถาน ประชาชนในเมลเบิร์นจะสามารถออกจากบ้านได้ เพื่อไปทำงาน หรือไปรับบริการด้านสุขภาพหรือไปรับการดูแลที่จำเป็น หรือเพราะเหตุผลด้านความปลอดภัยเท่านั้น
ระหว่างเวลา 5.00 น. เป็นต้นไปจนถึงเวลา 20.00 น. ประชาชนในเมลเบิร์นจะสามารถออกจากบ้านได้ เพื่อออกกำลังกาย เพื่อไปซื้อของจำเป็นและไปรับบริการที่จำเป็น ไปทำงาน ไปรับบริการด้านสุขภาพ หรือไปให้การดูแลญาติที่ป่วยหรือผู้สูงอายุเท่านั้น
รายละเอียดข้อจำกัดทั้งหมดสามารถดูได้ ที่นี่ ชาวรัฐวิกตอเรียทุกคนจะต้องสวมหน้ากากหรือผ้าปกคลุมจมูกและปากเมื่อออกจากเคหสถาน ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ใด
ประชาชนในออสเตรเลียต้องอยู่ห่างกับผู้อื่นอย่างน้อย 1.5 เมตร คุณสามารถตรวจดูว่ามีข้อจำกัดใดบ้างที่บังคับใช้อยู่ในรัฐและมณฑลของคุณ ที่นี่
การตรวจเชื้อไวรัสโคโรนาขณะนี้สามารถทำได้ทั่วออสเตรเลีย หากคุณมีอาการของไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้ติดต่อขอรับการตรวจเชื้อได้ด้วยการโทรศัพท์ไปยังแพทย์ประจำตัวของคุณ หรือโทรศัพท์ติดต่อสายด่วนให้ข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus Health Information Hotline) ที่หมายเลข 1800 020 080
รัฐบาลสหพันธรัฐออสเตรเลียยังได้มีแอปพลิเคชัน COVIDSafe เพื่อติดตามและแจ้งเตือนผู้ที่พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้จากแอปสโตร์ (app store) สำหรับโทรศัพท์มือถือของคุณ อ่านเกี่ยวกับแอปพลิเคชันนี้ ที่นี่
ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่ facebook.com/sbsthai
เรื่องราวที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย

เหตุผลสำคัญที่ทำให้นักเรียนต่างชาติในออสฯ กลับบ้าน