จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณถูกจับโดยไม่มีวีซ่า?

อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเผยกับเอสบีเอสนิวส์ ถึงเบื้องหลังกิจวัตรแต่ละวันของการไล่ล่าผู้อยู่เกินวีซ่าในออสเตรเลีย

เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่มีคนกระโดดออกนอกหน้าต่าง

แต่คุณคริสโตเฟอร์ เลวิงสโตน เล่าว่า บ่อยครั้งกว่า ที่ผู้คนซึ่งเขาเข้าประชิดตัว จะกลั้นอารมณ์ไม่อยู่และร้องไห้ โดยบางกรณีนั้นเนื่องมาจากความโล่งใจ

ทุกๆ คนในที่นี้คือผู้ที่อยู่เกินวีซ่าของพวกเขาในประเทศออสเตรเลีย และไม่ว่าจะเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี ต่างล้วนพบว่าเวลาของพวกเขาได้หมดลงแล้ว

คุณเลวิงสโตนทำงานให้กับกรมตรวจคนเข้าเมือง โดยเขามีหน้าที่แจ้งให้ผู้คนทราบว่าพวกเขานั้นถูกจับแล้วในที่สุด

“ลองสมมติว่าคุณต้องเก็บทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต โดยไม่รู้ตัวมาก่อน ภายใน 10,15 นาที ที่จะต้องเก็บกระเป๋าของคุณ” คุณเลวิงสโตนกล่าวกับเอสบีเอสนิวส์

“มันเหมือนฝันร้ายเลยใช่ไหม? พวกเขาน่าสงสารมาก”
“ลองสมมติว่าคุณต้องเก็บทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต โดยไม่รู้ตัวมาก่อน ภายใน 10,15 นาที”
ในปัจจุบัน คุณเลวิงสโตนทำงานเป็นทนายความด้านการตรวจคนเข้าเมืองที่ให้การช่วยเหลือกับผู้คนรวมไปถึงกรณีผู้อยู่เกินกำหนด และช่วยพวกเขาต่อกรกับระบบวีซ่าซึ่งซับซ้อนของประเทศออสเตรเลีย แต่ก่อนที่เขาจะออกจากกรมฯ เมื่อปี ค.ศ. 1990 นั้น เขาเล่าว่าได้เคยจับกุมผู้คนเป็นจำนวน “หลายร้อยคน” ซึ่งอยู่ในประเทศโดยไม่มีวีซ่าที่ถูกต้อง

การหลบหนีการจับกุม

กรณีของนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ซึ่งมางานคอมมอนเวลธ์เกมส์เมื่อไม่นานมานี้นั้น  ได้ทำให้สาธารณชนพุ่งความสนใจไปยังปัญหาการอยู่เกินกำหนด ทว่าพวกเขานั้นเป็นเพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้นหากจะเทียบกับจำนวนผู้ซึ่งอยู่ในออสเตรเลียหลังจากวีซ่าหมดอายุลงในแต่ละปีจำนวนหลายพันคน

มี “ชาวต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย” ซึ่งคาดว่ายังอยู่ในประเทศ ในปี 2016/17 เป็นจำนวน 62,900 คน  โดยอ้างอิงจากกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้ติดตามพบตัวเป็นจำนวน 15,885  คนในช่วงเวลาเดียวกันดังกล่าว

ทางกระทรวงฯ ได้จัดให้มีกิจกรรมต่างๆ อาทิการสัมมนาให้ข้อมูล ซึ่งมุ่งเน้นที่จะ “ส่งเสริมการให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ” ผู้คนซึ่งถูกจับได้ว่าอยู่เกินกำหนดนั้นอาจถูกกักตัว ส่งออกนอกประเทศ และถูกห้ามเข้าประเทศออสเตรเลียอีกเป็นเวลาอย่างน้อยสามปี

ถึงแม้ว่ามีเดิมพันต่างๆ ที่มหาศาล คุณเลวิงสโตนก็เล่าว่า เขาไม่ได้ใช้เวลาครุ่นคิดอย่างมากมายเท่าใดนัก ถึงผลอันหนักหน่วงที่จะตามมาทุกๆ ครั้งเมื่อเขาเดินทางมายังประตูบ้านของใครสักคน

“ผมเกรงว่า ผมอาจจะมีแนวโน้มต่อต้านสังคมเล็กน้อยก็เป็นได้ เพราะผมสามารถบอกได้อย่างสัตย์จริงว่า ในทางอารมณ์นั้นผมไม่ได้รู้สึกหนักใจมากมายเท่าไหร่เลยในเรื่องนี้” เขากล่าว

“ผมสนใจที่จะทำงานดังกล่าว ผมสนใจในการตามหาตัวผู้คน ผมสนใจต่อการจับกุมพวกเขาแล้วก็ทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่วิ่งหนีหรือได้รับบาดเจ็บ”
คุณคริสโตเฟอร์ เลวิงสโตน ได้จับกุมผู้อยู่เกินวีซ่าเป็นจำนวน “หลายร้อยคน” ระหว่างที่เขาทำงานให้กับรัฐบาล ขณะนี้เขาช่วยให้คนเหล่านั้นได้อยู่ต่อ
คุณคริสโตเฟอร์ เลวิงสโตน ได้จับกุมผู้อยู่เกินวีซ่าเป็นจำนวน “หลายร้อยคน” ระหว่างที่เขาทำงานให้กับรัฐบาล ขณะนี้เขาช่วยให้คนเหล่านั้นได้อยู่ต่อ (Image: supplied) Source: supplied via SBS News
ตัวอย่างของชายที่กระโดดออกนอกหน้าต่างนั้น เป็นหนึ่งในชาวฟิลิปปินส์หลายคนที่ถูกควบคุมตัว

“เราไปที่นั่น ผมคิดว่ามันเป็นคืนวันอาทิตย์นะ เพื่อที่จะไปจับกุมเขา มีผู้คนจำนวนหนึ่งอยู่ที่นั่น และทุกคนก็ถูกจับทั้งหมด” เขากล่าว “โชคไม่ดีที่ชายคนนี้คิดว่าการกระโดดออกนอกหน้าต่างนั้นเป็นความคิดที่ดี”
“โชคไม่ดีที่ชายคนนี้คิดว่าการกระโดดออกนอกหน้าต่างนั้นเป็นความคิดที่ดี”
คุณเลวิงสโตนเล่าว่าเขาบาดเจ็บอย่างมาก “แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เขาไม่เสียชีวิต”

การแจ้งเบาะแสคนอื่นๆ

คุณเลวิงสโตนกล่าวว่าในหลายๆ ครั้ง การถูกสุ่มให้หยุดรถนั้นเป็นความหายนะของผู้อยู่เกินกำหนด แต่ 99 เปอร์เซ็นต์ พวกเขาจะถูกพบจากการ “แจ้งเบาะแส” หรือถูกรายงานข้อมูลเข้ามายังทางกระทรวงฯ โดยที่บ่อยครั้งนั้นจากผู้คนในชุมชนเดียวกันกับพวกเขาเอง

เขากล่าวว่าปัญหาทางเพศ เงินทอง และเจตนาร้ายนั้นเป็นแรงจูงใจหลักๆ สำหรับการกระทำดังกล่าว

“บางคนอาจจะติดเงินกันอยู่ แล้วก็เลยถูกแจ้งเบาะแส” เขากล่าว “บางคนอาจจะกำลังคบชู้กันอยู่ แล้วคู่ครองของพวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ และพวกเขาก็แจ้งเบาะแสเข้ามา หรือไม่พวกเขาก็อาจจะแค่ต้องการทำโทษกัน”

สำหรับคนอื่นๆ นั้น ภัยคุกคามจากการที่อาจถูกจับกุมตัวได้ตลอดเวลาก็เป็นการทำโทษในตัวเองอย่างเพียงพอแล้ว

“ลองสมมติชีวิตที่หลบๆ ซ่อนๆ ชีวิตที่ต้องคอยวิ่งหนี มันก็น่าเครียดอย่างมาก” เขากล่าว “แต่สำหรับบางคนพวกเขาก็เก่งมากๆ ระยะเวลายาวนานที่สุดซึ่งผมเคยพบคนอยู่เกินวีซ่าของพวกเขานั้นประมาณ 40 ปี”

คุณเลวิงสโตนเล่าว่า ในกรณีดังกล่าว ท้ายที่สุดแล้ววิกฤตในครอบครัว ก็ทำให้ชาวมาเลเซียท่านนั้นต้องออกไปพบกับทนายความด้านการตรวจคนเข้าเมือง

ชายคนดังกล่าว ปรากฏว่ามีสิทธิ์ที่จะได้รับสัญชาติในฐานะ “บุคคลผู้ถูกกลืนปนไป (absorbed person)” ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหลายพันรายซึ่งคุณเลวิงสโตนคาดคะเนว่าเขาเคยเข้าประชิดตัวในระยะเวลา 26 ปี เพื่อ “ปรับสถานภาพของพวกเขาให้เป็นที่ทราบได้ตามปกติ”

ทางเลือกที่มีน้อย

เขาเล่าว่า บ่อยครั้งอาจมีหนทางที่สามารถอยู่ต่อได้โดยเป็นทางการ แทนที่จะเสี่ยงต่อการถูกจับ เขาเผยเพิ่มเติมว่า มันยากขึ้นเรื่อยๆ หากจะอยู่โดย “หลบหนี” ในชุมชน

“หากคุณจำเป็นต้องใช้บัตรประจำตัวต่างๆ 100 แต้มเพื่อเปิดบัญชีธนาคาร คุณก็จะพบว่ามันยากมากที่จะเปิดบัญชีธนาคาร ถ้าหากว่าคุณไม่มีวีซ่าที่ถูกต้อง” เขายกตัวอย่าง

ทางกระทรวงฯ ได้แจ้งกับเอสบีเอสนิวส์ว่า ต้องการให้ผู้ที่อยู่ในออสเตรเลียโดยไม่มีวีซ่าถูกต้องนั้นมาแก้ไขสถานภาพของพวกเขา เช่นผ่านทางบริการแก้ไขสถานภาพ (Status Resolution Service) หรือมิฉะนั้นก็ออกนอกประเทศไปเสีย

“บุคคลใดๆ ซึ่งไม่ทำตามนี้ อาจจำเป็นที่จะต้องถูกควบคุมตัวและส่งกลับ” ตัวแทนเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งกล่าว

คุณเลวิงสโตนกล่าวว่า ทางเลือกของแต่ละคนนั้นจะเหลือน้อยลงหากว่าพวกเขาถูกจับและส่งไปยังสถานกักกัน ซึ่งพวกเขาอาจอยู่ที่นั่นโดยไม่มีกำหนด หากไม่มีทางเลือกที่ชัดเจนสำหรับพวกเขาว่าจะอยู่หรือจะไป

“หากคุณอยู่เกินกำหนดมาแล้วเป็นเวลา 10 ปี พวกเขาก็จะบอกว่า งั้นทำไมเราถึงจะยอมให้คุณออกไปได้ล่ะ?” เขาเล่า “มันยากลำบากมากๆ ที่จะออกจากสถานกักกันหากคุณได้เข้าไปแล้ว”

ไปที่เวบไซต์ border.gov.au/csrs เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่าที่กำลังจะหมดอายุหรือหมดอายุลงไปแล้ว

หากคุณต้องการแบ่งปันเรื่องราวของคุณกับเอสบีเอส ติดต่อ

leesha.mckenny@sbs.com.au

Share

Published

Updated

By Leesha McKenny
Presented by Tanu Attajarusit
Source: SBS News

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand